เมนู

ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิตแน่วแน่ ไม่นานนัก ก็ทำให้
แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ซึ่งกุลบุตรทั้งหลายผู้ออกจาก
เรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง
ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่
ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ก็ท่านกัสสปได้
เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย.
จบอเจลกัสสปสูตรที่ 7

อรรถกถาอเจลกัสสปสูตรที่ 7



ในอเจลกัสสปสูตรที่ 7 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อเจโล กสฺสโป ได้เเก่นักบวชอเจละ คือไม่มีผ้า
โดยเพศ ชื่อกัสสปะโดยชื่อ. บทว่า ทูรโตว ความว่า ได้เห็นพระผู้มี
พระภาคเจ้า
มีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ห้อมล้อมเสด็จมาแต่ไกลทีเดียว. บทว่า
กิญฺจิเทว เทสํ ได้แก่เหตุการณ์บางอย่าง. บทว่า โอกาสํ ได้แก่ขณะ
คือกาลแห่งการพยากรณ์ปัญหา. บทว่า อนฺตรฆรํ ได้แก่ภายในบ้าน
ชื่อว่า ละแวกบ้าน. ในคำว่า น ปลฺลตฺถิกาย อนฺตรฆเร นิสี-
ทิสฺสามิ
(จักไม่นั่งคู้เข่าในละแวกบ้าน). ชื่อว่า ภายในบ้านตั้งแต่เสา
เขตเป็นต้นไป ในคำว่า โอกฺขิตฺตจกฺขุ อนฺตรฆเร คมิสฺสามิ (เรา
จักทอดจักษุไปในละแวกบ้าน). ภายในบ้านนี้แล ท่านประสงค์เอาใน
ที่นี้. บทว่า ยทากงฺขสิ ได้แก่มุ่งหวังสิ่งใด.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร. พระผู้มีพระภาคเจ้าประสงค์จะตรัสจึง
ทรงห้ามเสียถึงครั้งที่ 3. ตอบว่า เพื่อให้เกิดความเคารพ. เพราะผู้ถือ

ทิฏฐิ เมื่อเขากล่าวเร็วก็ไม่ทำคารวะ ไม่เชื่อแม้ถ้อยคำ ด้วยเข้าใจว่า
การเข้าเฝ้าพระสมณโคดมก็ดี การทูลถามก็ดี ง่ายเพียงแต่ถามเท่านั้น
ก็ตรัสตอบทันที. แต่เมื่อห้ามถึง 2-3 ครั้ง เขาก็ทำความเคารพ ก็เชื่อ
ด้วยเข้าใจว่า การเฝ้าพระสมณโคดมก็ดี การทูลถามปัญหาก็ดี ยาก เมื่อ
ทูลขอถึงครั้งที่ 3 เขาก็จะตั้งใจฟัง เชื่อคำที่ตรัส. ดังนั้น พระผู้มีพระ
ภาคเจ้า
จึงให้เขาทูลขอถึงครั้งที่ 3 จึงตรัส ด้วยประสงค์ว่า ผู้นี้จักตั้งใจฟัง
เชื่อถือ เหมือนอย่างว่า หมอบาดแผลหุงน้ำมันหรือเคี่ยวน้ำอ้อย เมื่อ
จะหุงน้ำมันหรือเคี่ยวน้ำอ้อย ก็รอเวลาให้น้ำมันอ่อนตัวและน้ำอ้อยแข็งตัว
ได้ที่ ไม่ปล่อยให้ไหม้ แล้วยกลงเสียฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ฉันนั้น
ทรงรอให้ญาณของสัตว์แก่กล้าเสียก่อน แม้จะทราบว่าญาณของผู้นี้จักแก่
กล้าด้วยเวลาเพียงเท่านี้ ก็ทรงให้ขอจนถึงครั้งที่ 3.
บทว่า มา เหวํ กสฺสป ได้แก่กัสสปเธออย่าพูดอย่างนั้น.
ทรงแสดงว่า การพูดว่าสิ่งที่ตนเองทำแล้ว จัดเป็นทุกข์ ดังนี้ ไม่ควร
ใคร ๆ ที่ชื่อว่าตน ก่อทุกข์ ไม่มี. แม้ข้างหน้าก็มีนัยเช่นนี้เหมือนกัน.
บทว่า อธิจฺจสมุปฺปนฺนํ ได้แก่เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุ ตามที่ต้องการ.
บทว่า อิติ ปุฏฺโฐ สมาโน ได้แก่เพราะเหตุไร จึงพูดอย่างนั้น. นัยว่า
อเจลกัสสปนั้นมีความคิดอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงถูกถามโดย
นัยมีอาทิว่า สิ่งอันตนเองทำ เป็นทุกข์หรือ ก็ตรัสว่า อย่าพูดอย่างนั้น
ทรงถูกถามว่า ไม่มีหรือ ก็ตรัสว่ามี ทรงถูกถามว่า ท่านพระโคดมไม่
ทรงทราบ ไม่ทรงเห็นทุกข์หรือ ก็ตรัสว่า เรารู้, คำอะไรหนอแลที่เรา
ถามผิดพลาดไปดังนี้ เมื่อจะชำระคำถามของตนตั้งแต่ต้น จึงกล่าวอย่างนี้.
ในบทว่า อาจิกฺขตุ จ เม ภนฺเต ภควา นี้ พึงทราบเนื้อความดัง

ต่อไปนี้ :- ผู้ที่มีความเคารพในพระศาสดาจะไม่พูดว่า ภวํ แต่จะพูดว่า
ภควา.
คำว่า โส กโรติ เป็นอาทิ พระองค์ตรัสเพื่อจะทรงปฏิเสธลัทธิ
ที่ว่า สิ่งอันตนเองทำเป็นทุกข์. ก็บทว่า สโต ในคำว่า อาทิโต สโต
นี้ เป็นฉัฏฐีวิภัตติ ลงในอรรถสัตตมีวิภัตติ เพราะฉะนั้น พึงทราบ
เนื้อความดังต่อไปนี้ว่า กสฺสป ในคำว่า โส กโรติ โส ปฏิสํเวทยติ
เป็นอาทิ ไขความว่า เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็จะมีความเห็นในภายหลังว่า สิ่ง
อันตนเองทำเป็นทุกข์. ก็ทุกข์ในคำว่า สยํกตํ ทุกฺขํ นี้ ท่านประสงค์
เอาวัฏทุกข์. บทว่า อิติ วทํ นี้ ย่อมสัมพันธ์กันด้วย อาทิ ศัพท์
แรกและสัสสตศัพท์ ลำดับต่อมา. ก็ศัพท์ว่า ทีเปติ คณฺหาติ นี้ เป็น
พระบาลีที่เหลือในที่นี้. จริงอยู่ ท่านอธิบายไว้ดังนี้ว่า เมื่อกล่าวดังนี้
คืออย่างนี้ ย่อมแสดงถึงสัสสตะ คือถือสัสสตะแต่ต้นทีเดียว. เพราะเหตุไร.
เพราะข้อนั้นเป็นความเห็นของท่าน. บทว่า เอตํ ปเร ได้แก่ถือการกะ
ผู้ทำ และเวทกะ ผู้เสวยว่าเป็นอย่างเดียวกัน อธิบายว่า เข้าถึงการกะ
และเวทกะนี้นั้นว่า เป็นสภาพเที่ยง.
ก็พระองค์ตรัสคำว่า อญฺโญ กโรติ เป็นอาทิไว้ก็เพื่อปฏิเสธ
ลัทธิที่ว่า ทุกข์อันบุคคลอื่นทำ. ส่วนคำว่า อาทิโต สโต นี้ พึงประมวล
มาไว้แม้ในที่นี้. พึงทราบเนื้อความในข้อนี้ ดังต่อไปนี้ :- กัสสป
ในคำว่า อญฺโญ กโรติ อญฺโญ ปฏิสํเวทยติ เป็นอาทิ ไขความได้ว่า
เมื่อถูกเวทนาที่สัมปยุตด้วยอุจเฉททิฏฐิ ที่เกิดขึ้นในภายหลังอย่างนี้ว่า
การกะขาดสูญในที่นี้แล คนอื่นย่อมเสวยสิ่งที่การกะนั้นทำแล้ว ดังนี้
ครอบงำคือเสียดแทง ก็จะมีลัทธิอย่างนี้ว่า สิ่งที่คนอื่นทำเป็นทุกข์. คำว่า

อิติ วทํ เป็นอาทิ พึงประกอบเข้าตามนัยที่กล่าวมา.
ในข้อนี้ มีโยชนา (การประกอบความ) ดังต่อไปนี้ :- ก็เมื่อ
กล่าวอย่างนี้ ย่อมแสดงถึงความขาดสูญ คือถือเอาความขาดสูญแต่แรก.
เพราะเหตุไร. เพื่อข้อนั้นเป็นความเห็นของท่าน. บทว่า เอตํ ปเร
ความว่า เข้าถึงความขาดสูญนั้น.
บทว่า เอเต เต ได้แก่กัสสป เราตถาคตไม่อาศัยที่สุดโต่ง 2
อย่างเหล่าใด คือสัสสตทิฏฐิ และอุจเฉททิฏฐิ แสดงธรรม เราตถาคต
ไม่อาศัย คือละ ได้แก่ไม่ติดที่สุดโต่ง 2 อย่างนั้น แสดงธรรมโดยสาย
กลาง อธิบายว่า ตั้งอยู่ในมัชฌิมาปฏิปทา แสดงธรรม. หากจะมีคำ
ถามว่า ธรรมข้อไหน. ก็ตอบว่า เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร.
ก็ในข้อนี้แสดงผลว่า มาจากเหตุ และแสดงความดับของผลนั้นไว้ เพราะ
เหตุดับ หาแสดงผู้กระทำหรือผู้เสวยไร ๆ ไว้ไม่. ด้วยคำเพียงเท่านี้ ก็
เป็นอันปฏิเสธปัญหาที่เหลือ. ก็ท่านห้ามปัญหาข้อที่ 3 ด้วยคำว่า อุโภ
อนฺเต อนุปคมฺม
นี้. ด้วยคำว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นี้ พึงทราบว่า
ทรงปฏิเสธการเกิดขึ้นลอย ๆ และความไม่รู้.
ท่านปรารถนาภิกษุภาวะในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วจึง
กล่าวคำว่า ลเภยฺยํ นี้ ทีนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาติตถิย-
ปริวาสที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ในขันธกะ คือปริวาสที่ผู้เคยเป็นอัญญ-
เดียรถีย์ตั้งอยู่ในสามเณรภูมิแล้วอยู่สมาทาน โดยนัยมีอาทิว่า ข้าแต่พระ-
องค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ผู้มีชื่อว่า เคยเป็นอัญญเดียรถีย์ หวังได้อุปสมบท
ในพระศาสนานี้ ข้าพระองค์นั้นจะขอปริวาสกับพระสงฆ์ตลอด 4 เดือน
ดังนี้ จึงตรัสว่า โย โข กสฺสป อญฺญติตฺถิยปุพฺโพ. คำว่า ปพฺพชฺชํ
ในบทว่า ปพฺพชฺช ลเภยยํ นั้น พระองค์ตรัสไว้ด้วยอำนาจความเป็น

คำที่สละสลวย. เพราะไม่ต้องอยู่ปริวาสก็ได้บรรพชา. ส่วนผู้ที่ต้องการจะ
อุปสมบท พึงบำเพ็ญวัตรปฏิปทา 8 ประการมีการเข้าบ้านเป็นต้น ให้
บริบูรณ์ อยู่ปริวาสโดยไม่ให้ล่วงเวลา. บทว่า อารทฺธจิตฺตา ได้แก่
ผู้มีใจยินดี เพราะบำเพ็ญวัตร 8 ประการ. ในข้อนี้ มีเนื้อความสังเขป
เท่านี้. ส่วนติตถิยปริวาสนี้ พึงทราบโดยพิสดาร ตามนัยที่กล่าวไว้แล้ว
ในอรรถกถาแห่งปัพพัชชาขันธกะ อรรถกถาวินัย ชื่อ สมันตปาสาทิกา.
พระบาลีในที่นี้ว่า อปิจ มยา ส่วนในที่อื่น ปรากฏว่า อปิจ
เมตฺถ.
บทว่า ปุคฺคลเวมตฺตตา วิทิตา ได้แก่รู้ความต่างบุคคล. ท่าน
แสดงว่า คำนี้ว่า บุคคลนี้ ควรแก่ปริวาส บุคคลนี้ไม่ควรแก่ปริวาส ดังนี้
ปรากฏแก่เรา. แต่นั้น ท่านพระกัสสปคิดว่า น่าอัศจรรย์ พระพุทธ-
ศาสนาที่บุคคลเลือกสรร ถือเอาสิ่งที่ควรเท่านั้น ทิ้งสิ่งที่ไม่ควร. แต่นั้น
ท่านที่เกิดความอุตสาหะขึ้นในการบรรพชาอย่างมากจึงกราบทูลว่า สเจ
ภนฺเต.
ลำดับต่อมา พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบว่า เธอมีความ
พอใจอย่างแรงกล้า จึงทรงดำริว่า กัสสป ควรแก่ปริวาส ดังนี้ จึงตรัส
เรียกภิกษุรูปหนึ่งมาตรัสสั่งว่า ไปเถิด ภิกษุให้กัสสปอาบน้ำ ให้บรรพชา
แล้วนำมา. ภิกษุนั้นตามพระดำรัสแล้ว ให้กัสสปบวชแล้วไปยังสำนัก
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งกลางหมู่พระ
สงฆ์แล้วให้กัสสปอุปสมบท. ด้วยเหตุนั้น ท่านกล่าวว่า อลตฺถ โข
อเจโล กสฺสโป ภควโต สนฺติเก ปพฺพชฺชํ อลตฺถ อุปสมฺปทํ

(อเจลกัสสป ได้บรรพชาได้อุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้ว). คำที่เหลือมีอาทิว่า อจิรุปสมฺปนฺโน ท่านกล่าวไว้แล้วในพราหมณ-
สังยุตแล้วแล.
จบอรรถกถาอเจลกัสสปสูตรที่ 7

8. ติมพรุกขสูตร



ว่าด้วยสุขและทุกข์เกิดแต่ปัจจัย



[53] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ครั้งนั้นแล ปริพาชก ชื่อ
ติมพรุกขะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้
ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกัน
ไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
[54] ครั้นแล้ว ติมพรุกขปริพาชกได้ทูลถามพระผู้มีพระภาค-
เจ้า
ว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม สุขและทุกข์ ตนกระทำเองหรือ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า อย่ากล่าวอย่างนั้น ติมพรุกขะ.
ต. สุขและทุกข์ผู้อื่นกระทำให้หรือ ท่านพระโคดม.
ภ. อย่ากล่าวอย่างนั้น ติมพรุกขะ.
ต. สุขและทุกข์ ตนกระทำเองด้วย ผู้อื่นกระทำให้ด้วยหรือ
ท่านพระโคดม.
ภ. อย่ากล่าวอย่างนั้น ติมพรุกขะ.
ต. สุขและทุกข์บังเกิดขึ้น เพราะอาศัยการที่มิใช่ตนเองกระทำ
มิใช่ผู้อื่นกระทำให้หรือ ท่านพระโคดม.
ภ. อย่ากล่าวอย่างนั้น ติมพรุกขะ.
ต. สุขและทุกข์ไม่มีหรือ ท่านพระโคดม.
ภ. สุขและทุกข์ไม่มีหามิได้ สุขและทุกข์มีอยู่ ติมพรุกขะ.
ต. ถ้าอย่างนั้น ท่านพระโคดม ย่อมไม่รู้ ไม่เห็นสุขและทุกข์.